ในช่วงตลาดนิวยอร์ก ตลาดจะค่อนข้างผันผวน ซึ่งส่สวนมากมักเกิดจากการสิ้นสุดช่วงเทรดประจำวันหรือสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนสูงของช่วงเวลาตลาดอเมริกาก็สร้างโอกาสในการเทรดอย่างมาก กลยุทธ์ Breakout คือหนึ่งในวิธีเทรดที่ได้รับความนิยมมากในช่วงเวลาดังกล่าว เรามาลองดูหนึ่งในกลยุทธ์นี้กัน
ว่าด้วยเรื่องของกลยุทธ์
ไม่มีเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการใช้กลยุทธ์นี้ ต่างจากกลยุทธ์ London Breakout ที่เชื่อมโยงกับการเปิดช่วงเวลาตลาดยุโรป หากคุณไม่ต้องการเฝ้าตลาดตลอดช่วงเวลานี้ตั้งแต่ 12:00 น. ถึง 21:00 น. UTC (19:00 น. ถึง 4:00 น.ตามเวลาไทย) ก็ควรใช้อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands
โปรแกรมนี้ถูกสร้างโดยเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ด้านเทคนิคที่มีชื่อเสียงอย่าง John Bollinger โดยอินดิเคเตอร์นี้ประกอบไปด้วยเส้นสามเส้นที่ค่อย ๆ ขยายหรือหดตัวตามความผันผวนของตลาด การเกิด breakout หนึ่งใน Bollinger Bands ส่งสัญญาณถึงแรงกระตุ้นที่แข็งแกร่ง เรากำลังจะใช้ breakout เหล่านี้เพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จ
ข้อมูลหลัก
มีข้อควรจำในการสร้างกำไรด้วยกลยุทธ์นี้เพียงบางประการเท่านั้น :
1. คู่สกุลเงิน
ช่วงเวลาตลาดอเมริกามีชื่อเสียงในด้านความคาดเดาไม่ได้ ดังนั้น พยายามใช้คู่สกุลเงินที่เสถียรที่สุด เลือกคู่เทรดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด นอกจากนี้ คู่ที่มีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังเหมาะสมที่สุดสำหรับช่วงเวลาตลาดนิวยอร์กอีกด้วย :
- EUR/USD
- USD/CAD
- GBP/USD
2. Timeframe
กลยุทธ์ breakout เป็นกลยุทธ์เทรดรายวัน คุณอาจใช้ timeframe ที่สูงขึ้นเพื่อระบุแนวโน้มหลักได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับระบบนี้ แนวโน้มหลักไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก
หากต้องการตั้งค่าออเดอร์ให้ได้มากที่สุด ก็ควรเลือก timeframe ที่ต่ำที่สุด อย่างเช่น กราฟรายห้านาที หรือ M5 นั่นเอง
3. จุดเข้าเทรด
สัญญาณเพื่อเปิดออเดอร์ก็คือ breakout เหนือหรือล่าง Bollinger Bands เพื่อให้ได้สัญญาณที่แม่นยำมากขึ้น ควรรอให้เกิด breakout สองครั้งติดต่อกัน :
- เมื่อแท่งเทียนสองแท่งทะลุขึ้นไปเหนือกรอบบนของอินดิเคเตอร์ทีละแท่ง ควรเปิดออเดอร์ซื้อ
- เมื่อแท่งเทียนสองแท่งเข้าใกล้ด้านล่างของกรอบล่าง Bollinger Bands ควรเปิดออเดอร์ขาย
4. จุดปิดออเดอร์
การตั้ง Stop Loss ในกลยุทธ์นี้ ควรตั้งอยู่ติดกับกรอบด้านตรงข้ามของแท่งเทียน breakout สองแท่งแรก :
- สำหรับออเดอร์ซื้อ - ปิดใต้แท่งเทียนแรก
- สำหรับออเดอร์ขาย - ปิดเหนือแท่งเทียนแรก
ระยะห่างจากการตั้งค่า Take Profit จะขึ้นอยู่กับอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของคุณ หากคุณเทรดที่ระดับ 1:3 ก็ควรตั้งค่าการปิดออเดอร์ให้ห่างสามเท่าจาก Stop Loss ที่ตั้งไว้ หากเทรดที่ 1:2 ระยะห่างก็ควรกว้างเป็นสองเท่า
สุดท้ายนี้
การเทรดในช่วงเวลาเทรดใดก็ตามมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เมื่อเลือกกลยุทธ์ พึงพิจารณาถึงคุณลักษณะเหล่านี้ เราหวังว่ากลยุทธ์จากสามบทความล่าสุดของเราจะช่วยให้คุณทำกำไรในช่วงเวลาเทรดแต่ละช่วงได้ ขอให้โชคดี !