เกี่ยวกับ Gap
Gap เกิดขึ้นจากการที่ราคาปิดในวันศุกร์มีความแตกต่างจากราคาเปิดในวันจันทร์มาก คุณจะเห็นความแตกต่างนี้ได้ชัดเจนบนกราฟ โดยแท่งเทียนสองแท่งที่อยู่ติดกันจะอยู่ห่างกันมาก สาเหตุในการเกิด Gap คือมีจำนวนออเดอร์ที่สะสมอยู่มาก เมื่อตลาดเปิดวันจันทร์ ทุกออเดอร์ได้รับการประมวลผลในเวลาเดียวกัน ทำให้ราคากระโดดไปมาก
Gap จะไม่เกิดในทุกสัปดาห์ โดยเฉลี่ยมักจะเกิดเดือนละครั้งในแต่ละคู่เทรด โดยเกิดขึ้นจากจำนวนออเดอร์ฝั่งซื้อมีความแตกต่างจากจำนวนออเดอร์ฝั่งขายมาก
คุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของ Gap
โอกาสในการทำกำไรจาก Gap เกิดขึ้นจากการที่มีความต้องการปิด Gap ตัวอย่างเช่น หากราคากระโดดสูงขึ้นมา มีโอกาสสูงที่ราคาจะตกลงมาเพื่อปิด Gap นี้ และเป็นเช่นเดียวกันในทิศทางตรงกันข้าม
พฤติกรรมของตลาดนี้เข้าใจได้ง่ายคือ เมื่อราคาเปลี่ยนแปลงไปมากในวันจันทร์ ทำให้ออเดอร์ pending จำนวนมากเกิดการประมวลผล และ Stop Loss ที่มีการตั้งไว้สำหรับออเดอร์เหล่านี้มักจะเป็นราคาปิดของวันศุกร์ ทำให้เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักจะใช้ข้อมูลนี้ในการทำกำไร
หากคุณถามถึงแนวโน้มของราคาต่อไป เราขอบอกว่าคุณไม่สามารถที่จะคาดการณ์ได้หลังจาก Gap ถูกปิดไปแล้ว ราคาจะวิ่งไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน ดังนั้นสำคัญมากที่คุณจะใช้โอกาสนี้ในการทำกำไรจากการกลับตัวหลังจากเกิด Gap
อย่างไรก็ตามในจำไว้ว่า Gap จะไม่ถูกปิด 100% บางครั้งตลาดจะยังคงวิ่งไปในทิศทางเดียวกันกับ Gap โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากเหตุการณ์ที่กระทบกับปัจจัยพื้นฐาน หรือในช่วงที่แนวโน้มแข็งค่าอย่างมาก
กลยุทธ์การเทรดช่วง Gap
โอกาสในการปิด Gap จะขึ้นอยู่กับแต่ละคู่ โดยโอกาสที่มีมากที่สุดจะเป็น 4 คู่นี้:
- EURUSD - ประมาณ 66%
- EURJPY - ประมาณ 70-71%
- GBPUSD - ประมาณ 70-71%
- GBPJPY - ประมาณ 70-71%
หากคุณต้องการทำกำไรจาก Gap ให้เปิดกราฟของ 4 คู่นี้ จะทำให้เพิ่มโอกาสในการหา Gap ที่น่าจะถูกปิดมากที่สุด
คุณสามารถใช้ timeframe ใดก็ได้ที่คุณต้องการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเข้าเทรดจะเกิดขึ้นครึ่งชั่วโมงหลังจากตลาดเปิดทำการ เราแนะนำให้ใช้กราฟราย 30 นาที แต่ละแท่งจะแสดงราคาในช่วง 30 นาทีเสมอ
ขั้นตอนการเทรดนั้นไม่ยุ่งยาก:
- หา gap ที่เกิดขึ้นบนกราฟ
- ตรวจสอบขนาดของ Gap ที่ควรจะเกิน 20 จุดขึ้นไป หากน้อยกว่านี้ โอกาสในการปิด Gap จะน้อยเกินไป
- รอจนกระทั่งแท่งกราฟราย 30 นาทีแท่งแรกปิดไปก่อน จากสถิติ Gap จะไม่ปิดก่อนช่วงนี้
- หาก Gap มีการกระโดดสูงขึ้น ให้หาโอกาสในการเปิดออเดอร์ขาย หากราคากระโดดลงมา ให้หาโอกาสในการเปิดออเดอร์ซื้อ
- ตั้งราคา Take Profit หากเป็น Gap ที่กระโดดสูงขึ้น ให้ตั้งราคาไว้เหนือราคาปิดของแท่งราย 30 นาทีแท่งสุดท้ายในคืนวันศุกร์เล็กน้อย หากเป็น Gap ที่กระโดดลงมา ให้ตั้ง Take Profit ไว้ต่ำกว่าราคาปิดวันศุกร์ประมาณ 3-4 จุด คุณไม่ควรจะตั้งไว้ที่ราคาปิดของวันศุกร์เลย เพราะว่า Gap มักจะไม่ปิดที่ราคาปิดของแท่งวันศุกร์ ให้ตั้ง Take Profit ไว้เผื่อตามที่เราแนะนำ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้
- ตั้งระดับ Stop Loss นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการคำนวณให้ถูกต้อง เนื่องจากก่อน Gap จะปิด ตลาดจะผันผวนอย่างมากและวิ่งไปยังทิศทางที่คุณไม่ต้องการ มันมักจะเกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์พยายามเอาชนะเทรดเดอร์คนอื่นที่คิดจะทำกำไรจาก Gap ซึ่งระยะ Stop Loss จะต้องมากกว่าระยะ Take Profit คูณด้วย 1.5 และบวกไปอีกเล็กน้อย หากคุณคูณด้วยจำนวนที่น้อยหรือมากกว่านี้ จะทำให้คุณเสี่ยงขาดทุนหรือจะทำให้เกิด Stop Loss เร็วเกินไป
เมื่อไหร่ที่คุณไม่ควรเข้าเทรด
แม้ขนาด Gap จะมีเพียงเล็กน้อยที่ 20 จุด คุณก็ควรให้ความสนใจกับระยะห่างระหว่างแท่งกราฟราย 30 นาทีแท่งแรกในวันจันทร์และเป้าหมายราคาที่ตั้งไว้ หากเกิดเหตุการณ์ที่แท่งเทียนแรกในวันจันทร์เคลื่อนที่ไปหา Gap ระยะ Take Profit จะลดลงอย่างมาก ในกรณีนี้ไม่คุ้มค่าที่จะเข้าเทรด ต้องแน่ใจว่าจุดที่จะทำกำไรของคุณนั้นอยู่ห่างไปอย่างน้อย 20 จุด ไม่เช่นนั้น กำไรที่อาจจะได้ก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง
จุดอ่อนของการเทรด Gap
- มีโอกาสถึง 29-34% ที่ Gap จะไม่ปิด อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเทรดสำเร็จก็ยังสูงถึง 66-71% จึงพูดได้ว่าคุ้มค่าแก่การเทรด
- โอกาสในการเกิด Gap ค่อนข้างน้อย แม้จะเทรด 4 คู่ แต่คุณก็จะเปิดออเดอร์ได้เพียง 5 ออเดอร์ต่อเดือนเท่านั้น ให้คุณใช้กลยุทธ์การเทรดช่วง Gap เป็นกลยุทธ์เพิ่มเติมจากกลยุทธ์การเทรดพื้นฐานของคุณ
- Gap ส่วนมากจะปิดภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างไรก็อาจนานถึง 24 ชั่วโมงได้บางครั้ง หากคุณเป็นเทรดเดอร์แบบ day trade ก็จะหมายความว่าคุณอาจต้องปิดออเดอร์ก่อนที่จะได้กำไรเสียอีก
กลยุทธ์ค่อนข้างจะเรียบง่ายและมีโอกาสสูงมากที่จะเทรดสำเร็จ เพียงแค่ทำตามแผนแล้วการเทรดในบางสัปดาห์ของคุณก็จะเริ่มต้นด้วยกำไรเพิ่มเติม