เทคนิคหลายๆเทคนิคในบทความนี้มีประโยชน์ คุณสามารถนำไปใช้ได้ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้ทำการเทรดทุกวันก็ตาม บางเทคนิคสามารถนำไปใช้ได้ในทุกสภาวะตลาด เรามาเริ่มต้นกันเลย
ใช้อินดิเคเตอร์ RSI
หากท่านเทรดตามแนวโน้ม อินดิเคเตอร์ RSI Overbought/Oversold เหมาะสมสำหรับท่าน อินดิเคเตอร์นี้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการหาจังหวะการเข้าเทรดและมีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ
เครื่องมือนี้เหมาะที่สุดที่จะใช้ในสภาพตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงชัดเจน วิธีการใช้คือให้ดูเส้น RSI และดูการทะลุของเส้นในระดับต่างๆดังนี้
- เมื่ออินดิเคเตอร์ต่ำกว่า 30 สภาวะตลาดเป็น oversold ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
- เมื่ออินดิเคเตอร์สูงกว่า 70 เป็นสัญญาณขาลง เป็นโอกาสในการขาย
ใช้กฎ 6%
คุณจำกฎ 1-2% ใน บทความแรก ได้หรือไม่ กฎ 6% นี้มีความคล้ายกัน แต่ต่างกันที่เป็นจำนวนความเสี่ยงที่คุณควรจำกัดสำหรับออเดอร์ที่เปิดอยู่ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งความเสี่ยงไว้สูงสุด 2% ในแต่ละออเดอร์ ดังนั้นคุณสามารถมีออเดอร์ที่เปิดอยู่ได้ทั้งหมด 3 ออเดอร์ ทำให้คุณเสี่ยงเพียง 6% ของเงินทุนทั้งหมดในแต่ละช่วงเวลา ถึงแม้ออเดอร์เกิดการขาดทุน คุณจะเสียเงินทุนเพียงแค่จำนวนน้อยเท่านั้น
หากคุณต้องการเปิดออเดอร์มากขึ้น คุณเพียงแค่ทำการลดความเสี่ยงของแต่ละออเดอร์ให้น้อยลง เช่น คุณปรับความเสี่ยงของแต่ละออเดอร์ลดลงเป็น 1% คุณสามารถเปิดออเดอร์ได้ 6 ออเดอร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
รอสัญญาณยืนยันการเข้าเทรดเสมอ
ถึงแม้ว่าคุณพบโอกาสในการเข้าเทรดตามแผนการเทรดและระบบการจัดการความเสี่ยงของคุณแล้ว คุณไม่สามารถแน่ใจได้ 100% ว่าตลาดจะเปลี่ยนทิศทางไปในไม่กี่วินาทีต่อมา ดังนั้น วิธีที่ดีทีสุดคือให้รอสัญญาณยืนยันการเข้าเทรดก่อนเสมอ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ให้คุณเข้าเทรดจากสัญญาณ price action
การยืนยันการเทรดจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของคุณ:
- ตัวอย่างเช่น หากกลยุทธ์ของท่านเป็นการเทรดจากรูปแบบ candlestick คุณควรจะรอสัญญาณยืนยันการเข้าเทรดจากรูปแบบกราฟก่อน เช่น morning star, hammer, doji, อื่นๆ
- หากคุณใช้กลยุทธ์ breakout ให้คุณรอให้เข้าใกล้เวลาปิดของแท่งที่มีการ break ก่อน ด้วยวิธีนี้คุณจะได้รับการยืนยันว่าสัญญาณจะไม่ผิดพลาด
จดบันทึกการเทรดของคุณเอง
เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์กับผู้เทรดมากที่สุด โดยพื้นฐานแล้ว จะเป็นการบรรยายรายละเอียดของแต่ละออเดอร์ที่คุณเปิด บันทึกจะถูกใช้ในการวิเคราะห์แบบลงลึกสำหรับการตัดสินใจในการเทรด ข้อสรุปที่ได้จากข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณเองได้เช่นเดียว กับคำแนะนำว่าควรพัฒนาระบบการเทรดอย่างไร
เขียนทุกอย่างที่แม้จะดูเหมือนสำคัญน้อยที่สุดสำหรับคุณ แม้แต่ข้อมูลที่คุณไม่เคยเปิดก็ยังมีประโยชน์ เพราะอาจเป็นโอกาสที่คุณพลาดไป ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้หลังจากมีการวิเคราะห์บันทึกของคุณเท่านั้น
ประการแรกสุด คุณสามารถวิเคราะห์ความก้าวหน้าที่ถูกบันทึกไว้ในนั้นอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ จากนั้น เมื่อระบบเทรดของคุณจะพัฒนาตัวเองคุณก็สามารถกลับมาวิเคราะห์มันแค่เดือนละครั้ง
ใช้ตัวช่วย Trailing Stop
เราได้พูดถึงคามสำคัญในการปกป้องกำไรของคุณมาก่อนหน้านี้แล้ว Trailing Stop ก็สามารถช่วยคุณได้ ระบบจะเคลื่อน Stop Loss ของคุณไปตามทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหากเป็นทิศทางที่คุณต้องการ และหากกราฟวิ่งกลับทางกัน SL ก็ยังอยู่ในที่ของมัน ด้วยวิธีนี้คุณก็สามารถปกป้องกำไรของคุณได้จุดต่อจุด
ให้ความสนใจกับค่าความสัมพันธ์ของคู่เทรด
หากคุณเทรดมากกว่าหนึ่งคู่เทรดในเวลาเดียวกัน คุณก็จะต้องจดจำค่าความสัมพันธ์ของคู่เทรดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ของคู่สกุลเงินหนึ่งกับคู่สกุลเงินอื่น ค่าความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากคู่เทรดประกอบด้วยสกุลเงินเดียวกัน ลองนึกถึงสถานการณ์ที่ว่า เมื่อคุณเทรด EURUSD และ EURJPY พร้อมกัน เมื่อการคาดการณ์ทิศทางของราคาผิดพลาดสำหรับสกุลเงินยูโร คุณก็จะยิ่งขาดทุนเป็นสองเท่า หากคุณขาดทุนในคู่ที่มีสกุลเงินดอลลาร์หรือยูโร คุณควรเปลี่ยนคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับคู่สกุลเงินของคุณ
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือหลีกเลี่ยงการเทรดคู่ที่มีความสัมพันธ์กันโดยทั่วไป มีเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่อาจช่วยคุณได้ เรียกว่า Correlation Matrix ซึ่งประกอบไปด้วยรายชื่อทั้งหมดของคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์กัน โดยคุณสามารถใช้มันเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนโดยไม่จำเป็น
สรุป
และทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับที่เราอยากแบ่งปันให้คุณในวันนี้ แน่นอนว่าคุณไม่มต้องใช้ทุกอย่างในครั้งเดียว อย่างแรก มันอาจค่อนข้างยาก เพราะอุปนิสัยจะต้องเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่สอง ข้อแนะนำบางข้ออาจไม่มีประโยชน์กับคุณเลย ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจเทรดคู่เงินใดเป็นหลัก คุณก็สามารถลืมเกี่ยวกับค่าความสัมพันธ์ของคู่เงินอื่น ๆ ไปได้เลย
แล้วอะไรที่ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก ? เคล็ดลับทุกอย่างมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้อที่สัมพันธ์กับการจัดการด้านความเสี่ยง ขอให้เริ่มต้นที่เคล็ดลับเหล่านั้น แล้วจึงใช้ข้ออื่น ๆ ที่เหลือ ด้วยวิธีนี้จะช่วยป้องกันการลงทุนของคุณและมีโอกาสทดสอบเคล็ดลับอื่นในอนาคต