คู่สกุลเงิน
การเทรดจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นหลัก คุณแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หนึ่งกับอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง ซื้อผลิตภัณฑ์แลกกับเงิน หรืออย่างที่เกิดขึ้นในฟอเร็กซ์ก็คือซื้อสกุลเงินหนึ่งแลกกับสกุลเงินอื่น คู่เทรดนี้เรียกว่าคู่สกุลเงิน ทุกคู่จะประกอบไปด้วยสองส่วน ได้แก่ :
- สกุลเงินหลัก เป็นครึ่งแรกของคู่สกุลเงินซึ่งเป็นสกุลเงินที่คุณจะซื้อหรือขาย
- สกุลเงินรอง เป็นครึ่งที่สองของคู่สกุลเงินซึ่งคุณซื้อสกุลเงินหลักด้วยสกุลเงินนี้
การเทรดฟอเร็กซ์จะทำงานด้วยวิธีต่อไปนี้ :
- เมื่อทำการเปิดออเดอร์ขายสำหรับคู่ EURJPY หมายถึงคุณขายเงินยูโรและซื้อเงินเยน
- เมื่อทำการเปิดออเดอร์ซื้อที่คู่สกุลเงินเดียวกันนี้ ก็หมายถึงคุณซื้อเงินยูโรและขายเงินเยน
ประเภทของคู่สกุลเงิน
ประเภทของคู่สกุลเงินฟอเร็กซ์สามประเภทมีดังนี้ :
- สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินเหล่านี้มักประกอบไปด้วยดอลลาร์สหรัฐ (USD) สกุลเงินรองสำหรับกรณีนี้มักเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ใช้เทรดกันมากที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์ ประกอบไปด้วย ยูโร (EUR), ปอนด์อังกฤษ (GBP), เยน (JPY), ฟรังก์สวิส (CHF), ค่าเงินแคนาดา (CAD), ค่าเงินออสเตรเลีย (AUD) และนิวซีแลนด์ดอลลาร์ (NZD)
- หากคู่เทรดประกอบไปด้วยสกุลเงินจากที่กล่าวมาแต่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ คู่สกุลเงินนั้นจะเรียกว่า cross pair
- นอกจากนี้ยังมีคู่ exotic ซึ่งประกอบไปด้วยสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากสกุลเงินหลัก ตัวอย่างเช่น คู่ที่ประกอบไปด้วย ค่าเงินเปโซเม็กซิโก (MXN), หยวนจีน (CNY), รูเปียอินโดนีเซีย (IDR) เป็นต้
ผู้เทรดรายใหม่ทุกคนควรเริ่มจากคู่หลักก่อน เพราะมีลักษณะพิเศษคือมีมูลค่าต่ำมาก (ค่าสเปรดแคบ) และมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดี คู่ exotic มักมีมูลค่าสูงและมีความผันผวนในระดับสูงเช่นกัน จึงควรเอาไว้เทรดในภายหลังเมื่อคุณมีประสบการณ์ในการเทรดบ้างแล้ว
Quotes หรือ Quotations (ราคา)
คือมูลค่าของสกุลเงินหลักในสกุลเงินรอง ในหัวข้ออื่นคุณอาจพบกับราคาและอัตราแลกเปลี่ยน หากราคาของสกุลเงินที่คู่ USDJPY คือ 110.80 ก็หมายความว่าคุณจะต้องใช้ 110.80 เยน เพื่อซื้อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ
หากราคาของคู่สกุลเงินเพิ่มขึ้น อาจมีความหมายสองอย่าง :
- สกุลเงินหลักกำลังแข็งค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้น
- สกุลเงินรองกำลังอ่อนค่าและมูลค่าลดลง
Bid/Ask
เป็นศัพท์พื้นฐานมาก ทุกคู่เทรดจะต้องมีสองราคาควบคู่กันเสมอ :
- Bid - ราคาซื้อ
- Ask - ราคาขาย
ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่คุณเห็นในตารางแลกเปลี่ยนสกุลเงินในธนาคาร
Spread
ค่าสเปรดคือค่าความต่างระหว่างราคา Bid และ Ask ซึ่งราคาที่คุณจะต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ทุกครั้งที่คุณเปิดออเดอร์ หากคุณเปิดเทรดหลายคู่ทุกวัน โปรดให้ความสนใจขนาดของสเปรด และจำไว้เสมอว่าค่าสเปรดนั้น แม้จะเป็นค่าคงที่ ก็ยังสามารถขยายได้ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่มีการออกข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ
Pip และ Lot
การขยับที่เล็กที่สุดในการเคลื่อนที่ของราคาในตลาดก็คือ pip และ point คุณจะคำนวณกำไรได้ทันทีที่คุณรู้มูลค่าของ pip สำหรับการเทรดของคุณโดยเฉพาะ สำหรับคู่สกุลเงินที่นิยมเทรดกันมากที่สุด pip จะมีสี่หลักหลังจุดทศนิยม บางคู่เช่นสกุลเงินเยน จะมีสองหลัก
ลองดูตัวอย่างสองข้อต่อไปนี้ :
- หากราคาเคลื่อนที่จาก 1.9870 ไปยัง 1.9860 ก็หมายความว่ามีความเปลี่ยนแปลง 10 pip
- หากคู่ USDJPY แข็งค่าขึ้นจาก 108.15 ไปยัง 108.40 นั่นหมายความว่ามีการเคลื่อนที่ 25 pip
จำนวนใหญ่ที่สุดของการเทรดฟอเร็กซ์จะอยู่ในรูปของ standard lot หนึ่ง lot เท่ากับ $100,000 ดังนั้น หากคุณเปิดออเดอร์ขนาด 0.1 lot ออเดอร์ของคุณจะมีมูลค่า $10,000
โบรกเกอร์บางแห่งจะเสนอโอกาสในการเทรดเป็นหน่วย lot ที่เล็กลง :
- Mini-lot - $10,000
- Micro-lot - $1,000
Leverage
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเปิดเทรดได้แม้เพียงหนึ่งในสิบของ standard lot เทรดเดอร์หน้าใหม่จะสามารถหา $10,000 จากที่ไหนมาเทรด ? จึงเป็นเหตุผลที่โบรกเกอร์มีการเสนอค่าเลเวอเรจสำหรับการเทรดให้กับคุณ
โดยพื้นฐานแล้ว โบรกเกอร์จะเสนอเงินกู้ หากเลเวอเรจเท่ากับ 1:500 หมายความว่าคุณจะสามารถเปิดออเดอร์ได้มากกว่าเงินลงทุนจริงของคุณถึง 500 เท่า ในสถานการณ์เช่นนี้ หากต้องการเปิดออเดอร์ $10,000 คุณก็จะใช้แค่ $20 เท่านั้น
ประโยชน์หลักของค่าเลเวอเรจก็คือความสามารถในการเพิ่มกำไรของคุณขึ้นเป็นสิบเท่า อย่างไรก็ตาม มันก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน หากตลาดวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคุณ คุณก็เสี่ยงที่จะขาดทุนในจำนวนเงินมหาศาล ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้อง เลือกขนาดของเลเวอเรจ อย่างระมัดระวัง
สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้ เราจะเรียกประเด็นนี้ว่าเป็นประเด็นแรกในชุดบทความที่คล้ายกันนี้ ในโอกาสหน้าเราจะมาพิจารณาส่วนประกอบพื้นฐานอื่นที่ขาดไม่ได้ซึ่งจะกลายเป็นแก่นความรู้ของคุณเกี่ยวกับฟอเร็กซ์